tag:blogger.com,1999:blog-86586142558901248602024-02-20T07:38:36.709-08:00welcomekamin JThttp://www.blogger.com/profile/04554982606832858660noreply@blogger.comBlogger3125tag:blogger.com,1999:blog-8658614255890124860.post-46449754908486758232012-05-09T10:38:00.000-07:002012-05-09T10:40:24.524-07:00พรบ การใช้อินเตอเน็ตและผลกระทบต่อนิสิตนักศึกษษ<br />
<strong>ความรู้เกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์</strong><br />
“ระบบคอมพิวเตอร์” หมายความว่า อุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมการทำงานเข้าด้วยกัน โดยได้มีการกำหนดคำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือสิ่งอื่นใด และแนวทางปฏิบัติงานให้อุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลโดยอัตโนมัติ<br />
“ข้อมูลคอมพิวเตอร์” หมายความว่า ข้อมูล ข้อความ คำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือสิ่งอื่นใดบรรดาที่อยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ในสภาพที่ระบบคอมพิวเตอร์อาจประมวลผลได้ และให้หมายความรวมถึงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วย<br />
“ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์” หมายความว่า ข้อมูลเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารของระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งแสดงถึงแหล่งกำเนิด ต้นทาง ปลายทาง เส้นทาง เวลา วันที่ ปริมาณ ระยะเวลาชนิดของบริการ หรืออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการติดต่อสื่อสารของระบบคอมพิวเตอร์นั้น<br />
“ผู้ให้บริการ” หมายความว่า<br />
(๑) ผู้ให้บริการแก่บุคคลอื่นในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ต หรือให้สามารถติดต่อถึงกันโดยประการอื่น โดยผ่านทางระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการในนามของตนเอง หรือในนามหรือเพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น<br />
(๒) ผู้ให้บริการเก็บรักษาข้อมูลคอมพิวเตอร์เพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น<br />
“ผู้ใช้บริการ” หมายความว่า ผู้ใช้บริการของผู้ให้บริการไม่ว่าต้องเสียค่าใช้บริการหรือไม่ก็ตาม<br />
“พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้<br />
<br />
<strong>สาเหตุหลักที่ต้องใช้พรบ.</strong><br />
เหตที่ต้องมี “พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พ.ศ.2550” เพราะว่าทุกวันนี้คอมพิวเตอร์ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีิวิตประจําวันของเรามากยิ้งขึ้นซึ่งมีการใช้งานคอมพิวเตอร์โดยมิชอบโดยบุคคลใดๆกตามที่ส่งผลเสียต่อบุคคลอื่นรวมไปถึงการใช้งานคอมพิวเตอร์ในการเผยแพรข้อมูลที่เป็นเท็จหรือมีลักษณะลามกอนาจาร จึงต้องมีมาตรการขึ้นมาเพื่อเป็นการควบคุมนั้นเอง<br />
<br />
<strong>ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ฐานความผิดและบทลงโทษสำหรับการกระทำโดยมิชอบ </strong><br />
<strong>มาตรา 5</strong> การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์:<br />
ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่ มีมาตราการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน <u>ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ</u><br />
<b>มาตรา 6</b> การล่วงรู้มาตราการป้องกันการเข้าถึง :<br />
ผู้ใดล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึง ระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะ ถ้านำมาตรการดังกล่าวไปเปิดเผยโดยมิชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแต่ ผู้อื่น<u> ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ</u><br />
<b>มาตรา 7</b> การเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ :<br />
ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน <u>ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ</u><br />
<b>มาตรา 8</b> การดักข้อมูลโดยมิชอบ :<br />
ผู้ใดกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยวิธีการ ทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อดักรับไว้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นที่อยู่ ระหว่างการส่งในระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นมิได้มีไว้เพื่อ ประโยชน์สาธารณะหรือเพื่อให้บุคคลทั่วไปใช้ประโยชน์ได้<u> ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ</u><br />
<b>มาตรา 9</b> การแก้ไขเปลี่ยนแปลง ข้อมูลคอมพิวเตอร์ :<br />
ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น โดยมิชอบ <u>ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ </u><br />
<b>มาตรา 10</b> รบกวน ขัดขวาง ระบบคอมพิวเตอร์ :<br />
ผู้ใดกระทำด้วยประการใดโดยมิ ชอบเพื่อให้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นถูกระงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวน จนไม่สามารถทำงานตามปกติได้ <u>ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ </u><br />
<b>มาตรา 11</b> สแปมเมล์ (Spam mail) :<br />
ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมาย อิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่นโดยปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มาของการส่งข้อมูล ดังกล่าว อันเป็นการรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่นโดยปกติสุข <u>ต้องระวางโทษไม่เกินหนึ่งแสนบาท </u><br />
<b>มาตรา 12</b> การกระทำความผิดต่อ ประชาชนโดยทั่วไป / ความมั่นคง :<br />
ถ้าการกระทำ ความผิดตามมาตรา 9 หรือมาตรา 10<br />
(1) ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนไม่ว่าความเสียหายนั้นจะเกิดขึ้นในทันที หรือในภายหลังและไม่ว่าจะเกิดขึ้นพร้อมกันหรือไม่<u>ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน สิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท </u><br />
(2) เป็นการกระทำโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือระบบ คอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศความปลอดภัย สาธารณะ หรือเป็นการกระทำต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์ ที่มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะ <u>ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสามแสนบาท</u> ถ้าการกระทำความผิดตาม (2) เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย <u>ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี </u><br />
<b>มาตรา 13</b> การจำหน่าย / เผยแพร่ชุดคำสั่งเพื่อใช้กระทำความผิด :<br />
ผู้ใดจำหน่ายหรือ เผยแพร่ชุดคำสั่ง ที่จัดทำขึ้นโดยเฉพาะเพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด ตามมาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 7 มาตรา 8 มาตรา 9 มาตรา 10 หรือมาตรา 11 <u>ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ</u><br />
<b>มาตรา 14</b> นำ เข้า / ปลอม / เท็จ / ภัยมั่นคง / ลามก / ส่งต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์ :<br />
ผู้ใด กระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ<br />
(1) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบาง ส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน<br />
(2) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความ ตื่นตระหนกแก่ประชาชน<br />
(3) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการ ก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา<br />
(4) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามก และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้<br />
(5) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (1) (2) (3) หรือ (4)<br />
<b>มาตรา 15</b> ความรับผิดของผู้ให้บริการ :<br />
ผู้ใดให้บริการผู้ใดจงใจสนับสนุนหรือ ยินยอมให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา 14 ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน <u>ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดตามมาตรา 14 </u><br />
<b>มาตรา 16</b> การเผยแพร่ภาพ ตัดต่อ / ดัดแปลง :<br />
ผู้ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฎเป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติมหรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด ทั้งนี้ โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย <u>ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ </u><br />
ถ้ากระทำตามวรรคหนึ่ง เป็นการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยสุจริต ผู้กระทำไม่มี ความผิด ความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ ถ้าผู้เสียหายในความผิดตามวรรคหนึ่งตายเสียก่อน ร้องทุกข์ ให้บิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้เสียหายร้องทุกข์ได้ และให้ถือว่าเป็นผู้เสียหาย ความผิดอื่นใดอาจไม่ได้รับโทษตาม พรบ. นี้เพียงอย่างเดียวต้องดูองค์ประกอบ และกฎหมายฉบับอื่นประกอบด้วยเช่น พรบ.ลิขสิทธิ , พรบ. ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์, ความผิดทางแพ่ง, อาญา<br />
<br />
<br />
<strong>สิ่งที่ต้องทำหากกระทำความผิด</strong>ผู้ใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ในฐานะบุคคลธรรมดาท่านไม่ควรทำในสิ่งต่อไปนี้ เพราะอาจจะเป็นหนทางที่ทำให้ท่าน "กระทำความผิด" ตาม พรบ.นี้<br />
อย่าบอก password ของท่านแก่ผู้อื่น<br />
อย่าให้ผู้อื่นยืมใช้เครื่องคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อเข้าเน็ต อย่าติดตั้งระบบเครือข่ายไร้สายในบ้านหรือที่ทำงานโดยไม่ใช้มาตรการการตรวจสอบผู้ใช้งานและการเข้ารหัสลับ อย่าเข้าสู่ระบบด้วย user ID และ password ที่ไม่ใช่ของท่านเอง อย่านำ user ID และ password ของผู้อื่นไปใช้งานหรือเผยแพร่ อย่าส่งต่อซึ่งภาพหรือข้อความ หรือภาพเคลื่อนไหวที่ผิดกฎหมาย อย่า กด "remember me" หรือ "remember password" ที่เครื่องคอมพิวเตอร์สาธารณะ และอย่า log-in เพื่อทำธุรกรรมทางการเงินที่เครื่องสาธารณะ ถ้าท่านไม่ใช่เซียนทาง computer security อย่าใช้ WiFi (Wireless LAN) ที่เปิดให้ใช้ฟรี โดยปราศจากการเข้ารหัสลับข้อมูล อย่าทำผิดตามมาตรา ๑๔ ถึง ๑๖ เสียเอง ไม่ว่าโดยบังเอิญ หรือโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์<br />
ทำไมเราจึงควรปฏิบัติตามคำแนะนำข้างบนนี้? เชิญอ่านรายละเอียดเต็มๆ เกี่ยวกับสิ่งที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตไม่ควรทำ เพื่อทราบเหตุผล และความผิดที่เกี่ยวข้อง<br />
<br />
<strong>กรณีผู้ให้บริการ</strong> <br />
<br />
ผู้ให้บริการ อาจจะเป็นท่าน หรือหน่วยงานของท่าน ผู้ให้บริการมีหน้าที่และสิ่งที่ต้องทำมากกว่าบุคคลทั่วไป สิ่งที่ท่านต้องเข้าใจ คือ<br />
ผู้ให้บริการ นอกจากจะหมายถึง Internet Service Provider ทั่วไปแล้ว ยังหมายถึง ผู้ดูแลเว็บ และครอบคลุมถึงหน่วยงานที่มีการจัดบริการออนไลน์ บริการใช้อินเทอร์เน็ตและเครือข่ายทั่วไปในหน่วยงานของตนเองอีกด้วย เจ้าของร้านอินเทอร์เน็ต เจ้าของเว็บไซต์ รวมทั้งเจ้าของเว็บบอร์ด ล้วนแล้วเข้าข่ายที่จะเป็นผู้ให้บริการทั้งสิ้น หากท่านเปิดบริการให้สาธารณชน เข้ามาใช้บริการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต หรือสามารถแพร่ข้อความ ภาพ และเสียง ผ่านเว็บที่ท่านเป็นเจ้าของ ผู้ให้บริการตามกฎหมายนี้ ต้องทำตามหน้าที่ของ ผู้ให้บริการ ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติฯนี้ กล่าวคือ "มาตรา ๒๖ ผู้ให้บริการต้องเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไว้ไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน นับแต่วันที่ข้อมูลนั้นเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ แต่ในกรณีจำเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่จะสั่งให้ผู้ให้บริการผู้ใดเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไว้เกินเก้าสิบวัน แต่ไม่เกินหนึ่งปีเป็นกรณีพิเศษ เฉพาะรายและเฉพาะคราวก็ได้ ผู้ให้บริการจะต้องเก็บรักษาข้อมูลของผู้ใช้บริการเท่าที่จำเป็นเพื่อให้สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการนับตั้งแต่เริ่มใช้บริการ และต้องเก็บรักษาไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันนับตั้งแต่การใช้บริการสิ้นสุดลง... ผู้ให้บริการผู้ใดไม่ปฎิบัติตามมาตรานี้ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าแสนบาท" เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำหน้าที่ของผู้ให้บริการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จะออกประกาศ เรื่องหลักเกณฑ์การเก็บรักษา Traffic data ของผู้ให้บริการ เพื่อให้ผู้ให้บริการทุกแบบ สามารถทำหน้าที่เก็บ logfile ของข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ได้ตรงตามความจำเป็นขั้นต่ำ ประกาศดังกล่าวนี้ ยังเป็นหนทางที่จะทำให้เกิดธุรกิจบริการรับฝากข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ขึ้นได้ เพราะจะมีผู้ให้บริการขนาดเล็กจำนวนมาก ที่ไม่สามารถทำตาม พรบ.นี้ได้ด้วยตนเอง <br />
<br />
<strong>ผลกระทบต่นิสิตนักศึกษา</strong><br />
<br />
<span style="font-size: medium;">โลกอินเทอร์เน็ตที่มีเครือข่ายโยงใยกันทั่วทั้งโลก ย่อมเป็นสิ่งที่ควบคุมกันยากลำบากไม่ใช่เล่น ด้านดีทำให้เราเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้มากและง่ายยิ่งขึ้น แต่ในทางกลับกันนั้นคือ เมื่อสังคมได้เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน โดยมีการสื่อสารที่มอบความสะดวกและรวดเร็วให้มนุษย์ได้ใช้กันอย่างเสรีแล้ว ความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับความเสรีนั้นอาจไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อีกต่อไป ที่ถือเป็นการครอบงำเยาวชนและทำลายอารยธรรมของชาติ แม้ใครหลายคนยังมองว่าเป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคลก็ตาม หากสังคมยังคงปล่อยให้พฤติกรรมต่างๆ เหล่านี้แทรกซึมอยู่ในสังคมไทย เยาวชนไทยจะมองว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นเรื่องปกติธรรมดา </span>kamin JThttp://www.blogger.com/profile/04554982606832858660noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8658614255890124860.post-65872951777624839712012-05-03T22:11:00.000-07:002012-05-03T22:11:32.003-07:00opacและsearch engine<h2>
<span style="color: black;"><span style="color: navy;">WebOP</span><span style="color: navy;">AC/OPAC </span></span></h2>
<span style="color: navy;"><span style="color: black;"><span style="color: black;">การให้บริการสืบค้นทรัพยากรสารสนเทศ Online Public Access Catalog ( OPAC)</span></span><br /><span style="color: black;"> เป็นเครื่องมือสำหรับช่วยสืบค้นและแสดงรายละเอียด รายการทรัพยากรสารสนเทศของห้องสมุด รวมถึงการแจ้งข้อมูลข่าวสารของห้องสมุดให้ผู้ใช้บริการได้รับทราบ</span><br /><br /><span style="color: black;">ข้อมูลเบื้องต้นของระบบห้องสมุดอัตโนมัติ ความเป็นมาของระบบห้องสมุด <br /> ระบบห้องสมุดอัตโนมัติ ALIST มีจุดกำเนิดมาจากแนวคิดในการพัฒนาระบบห้องสมุดอัตโนมัติขึ้นมา ใช้งานเองเพื่อทดแทนระบบห้องสมุดอัตโนมัติ DYNIX (Commercial Software) โดยในปีพ.ศ. 2541 ระบบห้องสมุดอัตโนมัติ เวอร์ชัน 1.0ได้ถูกพัฒนาขึ้นโดยใช้โปรแกรม Visual Basic 5.0/6.0 คู่กับระบบจัดการฐานข้อมูล ORACLE ปัจจุบันยังมีการใช้งานที่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี ระบบห้องสมุดอัตโนมัติ เวอร์ชัน 2.0 ได้พัฒนาขึ้นโดยใช้โปรแกรม Visual Studio .NET เวอร์ชัน 2002 คู่กับระบบจัดการฐานข้อมูล ORACLE ในเวอร์ชันนี้ได้เริ่มต้นใช้เทคโนโลยี Web Services และได้เปิดตัวการสืบค้น OPAC ผ่านทาง Web Browser ทำให้สามารถเพิ่มความหลากหลายในการให้บริการได้มากยิ่งขึ้น ปัจจุบันมีการใช้งานที่ ห้องสมุดมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่, วิทยาเขตตรัง และวิทยาเขตภูเก็ต <br /> ระบบห้องสมุดอัตโนมัติ เวอร์ชัน 3.0เป็นเวอร์ชันที่ได้รับการสนับสนุนการพัฒนาจากสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา โดยทางสกอ.ได้ก าหนดข้อบังคับการพัฒนา (TOR) เพื่อให้ได้ซอฟต์แวร์ระบบห้องสมุดที่มีมาตรฐานเทียบเท่ากับซอฟต์แวร์จากต่างประเทศ ปัจจุบันใช้งานที่ห้องสมุดจอห์น เอฟ เคนเนดี้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี,มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์,มหาวิทยาลัยหาดใหญ่, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน และโรงพยาบาลหาดใหญ่ ระบบห้องสมุดอัตโนมัติ เวอร์ชัน 4.0 เป็นเวอร์ชันที่อยู่ในระหว่างทดสอบการใช้งาน โดยจะปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เป็นระบบห้องสมุดสาขา และเพิ่มขีดความสามารถในด้านการสืบค้นผ่านโปรโตคอล Z39.50 และสนับสนุนการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล Union Catalog</span><br /><span style="color: black;">Online Public Access Catalog ( OPAC ) ประกอบด้วย ฟังก์ชันการทำงานหลักดังนี้ <br />- แสดงข้อมูลข่าวสารทั่วไปและช่องทางสื่อสารกับห้องสมุด</span><br /><span style="color: black;">- </span><a href="http://library.oarit.rmuti.ac.th/wp-content/uploads/2011/08/opac.pdf" target="_blank"><span style="color: black;">สืบค้นรายการทรัพยากรสารสนเทศได้หลายรูปแบบ</span></a><span style="color: black;"> </span><br /><span style="color: black;">- แสดงข้อมูลรายละเอียดของสมาชิกห้องสมุด</span><br /><span style="color: black;">- </span><a href="http://library.oarit.rmuti.ac.th/wp-content/uploads/2011/08/renew.pdf" target="_blank"><span style="color: black;">การต่ออายุการยืม ( Renew ) รายการสารสนเทศ</span></a><br /><span style="color: black;">- </span><a href="http://library.oarit.rmuti.ac.th/wp-content/uploads/2011/08/hold.pdf" target="_blank"><span style="color: black;">การจอง ( Hold ) รายการสารสนเทศ</span></a><br /><span style="color: black;">- การเสนอแนะรายชื่อทรัพยากรสารสนเทศเพื่อให้ห้องสมุดจัดหา</span><br /><span style="color: black;">- การส่งออก (Export) ข้อมูลบรรณานุกรมในรูปแบบต่าง ๆ </span><br /><span style="color: black;">- รายงานสถิติจำนวนทรัพยากรของห้องสมุดและสถิติการสืบค้นต่าง ๆ</span><br /><br /><span style="color: black;"><span style="color: black;">การสืบค้นรายการทรัพยากรสารสนเทศ (Search) </span><br />ในการสืบค้นข้อมูลผ่านระบบ OPAC สามารถสืบค้นรายการทรัพยากรสารสนเทศแบ่งตามความซับซ้อนได้ 3 รูปแบบคือ </span><br /><span style="color: black;">1 </span><a href="http://www.blogger.com/opac-/useropac.html"><span style="color: black;">การสืบค้นแบบ Basic search</span></a><span style="color: black;"> คือ การสืบค้นแบบทั่วไป ผู้ใช้สามารถสืบค้นได้ครั้งละ 1 เขตข้อมูล เช่น ค้นด้วยชื่อเรื่อง(Title) ค้นด้วยชื่อผู้แต่ง(Author) เป็นต้น<br />2 การสืบค้นแบบ Advanced คือ การสืบค้นแบบขั้นสูง ผู้ใช้สามารถสืบค้นได้พร้อมกันสูงสุดครั้งละสามเขตข้อมูล พร้อมทั้งใช้ตัวเชื่อมทางตรรกะ (AND,OR,NOT) เช่น ค้นด้วยชื่อเรื่อง(Title) พร้อมทั้งชื่อผู้แต่ง(Author) เป็นต้น</span><br /><span style="color: black;">3 การสืบค้นแบบ Other Source เป็นการสืบค้นที่ผู้ใช้สามารถสืบค้นไปยังฐานข้อมูลของห้องสมุดอื่นซึ่งมีการติดตั้ง Z39.50 server โดยอาศัยการส่งผ่านข้อมูลทางโปรโตคอล Z39.50</span><br /><span style="color: black;">4 การสืบค้นโดยใช้ prefix ผู้ใช้สามารถใช้ prefix ที่ระบบได้ก าหนดไว้ โดยในการใช้งานจะระบุ prefix ไว้หน้าคำค้น เช่น ti=computer หมายถึง ให้ไปสืบค้นค าว่า computer จากเขตข้อมูลชื่อเรื่อง(Title) เป็นต้น</span></span><span style="color: navy;"><span style="color: black;"><strong><span style="color: black;">การเข้าใช้งาน</span></strong><a href="http://opac.skc.rmuti.ac.th/Login.aspx?ReturnUrl=%2fBasicSearch.aspx" target="_blank"><span style="color: black;">ระบบ (Login) </span></a><strong><span style="color: black;">การเข้าสู่ระบบ มีขั้นตอนดังนี้ </span></strong></span><br /><span style="color: black;"><strong><span style="color: black;"> <<</span></strong><a href="http://library.oarit.rmuti.ac.th/wp-content/uploads/2011/08/renew.pdf" style="color: #1772af;"><span style="color: black;">การยืมต่อทรัพยากรสารสนเทศผ่านทาง OPAC</span></a><strong><span style="color: black;"> </span></strong><a href="http://library.oarit.rmuti.ac.th/wp-content/uploads/2011/08/hold.pdf" style="color: #074d7c;"><span style="color: black;">การจองทรัพยากรสารสนเทศผ่านทาง OPAC</span></a><strong><span style="color: black;"> >></span></strong></span><br /><span style="color: black;"><strong><span style="color: black;"> </span></strong><br />1. คลิกที่เมนู </span><a href="http://opac.skc.rmuti.ac.th/Login.aspx?ReturnUrl=%2fBasicSearch.aspx" target="_blank"><span style="color: black;">Login</span></a><span style="color: black;"> ด้านบน เพื่อเข้าสู่หน้าจอเข้าสู่ระบบ หรือเข้าไปที่หน้า Login.aspx </span><br /><br /><span style="color: black;">2. ป้อนชื่อผู้ใช้ในช่อง “Username”<br />3. ป้อนรหัสผ่านในช่อง “Password” </span><br /><span style="color: black;">3. ป้อนรหัสผ่านในช่อง “Password”</span><br /><span style="color: black;"> 4. คลิกปุ่ม "เข้าสู่ระบบ" เพื่อเข้าสู่ระบบ</span><br /><br /><span style="color: black;"><strong><span style="color: black;">การสืบค้นแบบ Basic Search มีขั้นตอนดังนี้ </span></strong><br />1. ป้อนคำค้นในช่อง Search โดยการป้อนคำค้นสามารถป้อนได้ดังนี้<br />1.1 การป้อนคำค้นตามปกติ โปรแกรมสามารถสืบค้นได้จากทุกประเภทการสืบค้น<br />1.2 การป้อนคำค้นมากกว่า 1 คำ พร้อมด้วยตัวเชื่อม และเครื่องหมาย มีดังนี้ (ใช้สำหรับการสืบค้นประเภท Keyword เท่านั้น)<br />- AND หรือช่องว่าง โปรแกรมจะแสดงรายการที่มีคำค้นภายในและอยู่ใน Field เดียวกัน<br />- OR โปรแกรมจะแสดงรายการที่มีคำค้นตัวใดตัวหนึ่งหรือทั้งคู่<br />- NOT โปรแกรมจะแสดงรายการที่มีคำค้นตัวอื่น ๆ ยกเว้นคำค้นหลัง Keyword NOT<br />- “ ” โปรแกรมจะแสดงรายการที่มีคำค้นอยู่ติดกันใน field เดียวกัน<br />- ( ) ใช้ประกอบกับ Keyword อื่น ๆ เพื่อใช้สืบค้น </span><br /><span style="color: black;"> 2. เลือกประเภทการสืบค้น รูปแบบประเภทการสืบค้นมีให้เลือกดังนี้ </span><br /><span style="color: black;">- Title Keyword สืบค้นชื่อเรื่อง ที่ปรากฏในตำแหน่งใด ๆ ตรงกับคำค้น<br />- Title Alphabetic สืบค้นชื่อเรื่อง โดยเรียงลำดับอักษร<br />- Author Keyword สืบค้นชื่อผู้แต่งที่ปรากฏในตำแหน่งใด ๆ ตรงกับคคำค้น<br />- Author Alphabetic สืบค้นชื่อผู้แต่งที่ปรากฏในตำแหน่งใด ๆ ตรงกับคคำค้น<br />- Subject Keyword สืบค้นหัวเรื่องที่ปรากฏในตำแหน่งใด ๆ ตรงกับคคำค้น<br />- Subject Alphabetic สืบค้นหัวเรื่องที่ปรากฏในตำแหน่งใด ๆ ตรงกับคคำค้น<br />- Series Keyword สืบค้นชื่อชุดโดยเรียงลำดับอักษร <br />- Series Alphabetic สืบค้นชื่อชุดที่ปรากฏในต าแหน่งใด ๆ ตรงกับค าค้น<br />- Journal Title Keyword สืบค้นชื่อวารสารที่ปรากฏในต าแหน่งใด ๆ ตรงกับคำค้น<br />- Journal Title Alphabetic สืบค้นชื่อวารสารโดยเรียงล าดับอักษร<br />- LC Call Number ค้นหาตามเลขเรียกของ Library of Congress <br />- Local Call Number ค้นหาตามเลขเรียกของ ห้องสมุดที่ก าหนดขึ้นเอง<br />- Dewey Call Number ค้นหาตามเลขเรียกของ Dewey Decimal Classification Number<br />- NLM Call Number ค้นหาตามเลขเรียกของ National Library of Medicine Call <br />Number<br />- Bib. Number ค้นหาตามเลขอ้างอิงของ Bibliographic<br />- Barcode สืบค้นข้อมูลที่ตรงกับหมายเลข Barcode ที่ระบุ<br />- ISBN ค้นหาตามเลขมาตรฐาน International Standard Book Number<br />- ISSN ค้นหาตามเลขมาตรฐาน International Standard Serial Number<br />- All Fields ค้นหาโดยไม่ระบุประเภท</span><br /><br /><br /><br /><br /><span style="color: black;"><strong><span style="color: black;">2 การสืบค้นแบบ Advanced</span></strong> คือ การสืบค้นแบบขั้นสูง ผู้ใช้สามารถสืบค้นได้พร้อมกันสูงสุดครั้งละสามเขตข้อมูล พร้อมทั้งใช้ตัวเชื่อมทางตรรกะ (AND,OR,NOT) เช่น ค้นด้วยชื่อเรื่อง(Title) พร้อมทั้งชื่อผู้แต่ง(Author) เป็นต้น</span><br /><span style="color: black;">การสืบค้นแบบ Advanced Search มีวิธีการสืบค้นเช่นเดียวกับแบบ Basic Search แต่สามารถป้อนค าค้นและเลือก Field ได้มากกว่า 1 ชุดในเวลาเดียวกัน (เลือกได้สูงสุด 3 ชุด), พร้อมกับสามารถ Limit Search ได้เช่นเดียวกัน ขั้นตอนการสืบค้นแบบ Advanced Search มีดังนี้<br />1. เลือกประเภทการสืบค้น วิธีการใช้งานเหมือนกับในส่วน Basic Search<br />2. ป้อนค าค้นพร้อมเครื่องหมาย วิธีการใช้งานเหมือนกับใน Basic Search<br />3. เลือก Limit Search วิธีการใช้งานเหมือนใน Basic Search<br />4. กรณีมีเงื่อนไขที่ต้องการค้นหาเพิ่มเติม ให้ป้อนตัวเชื่อมระหว่าง Field ตัวเชื่อมที่มีให้เลือกคือ NOT, AND, OR (ก าหนดให้ AND เป็นตัวเชื่อมเริ่มต้น) โดยสามารถป้อนได้สูงสุด 2 ชุด<br />5. การสืบค้นข้อมูลและแสดงผลการสืบค้นจะแสดงผลลัพธ์ในการสืบค้นเช่นเดียวกับการสืบค้นแบบ Keyword</span><br /></span> <br />
<div style="margin: 5px 0px; text-align: justify;">
<span style="color: black;"><strong><span style="color: black;">3 การสืบค้นแบบ Other </span></strong><span style="color: black;"> </span><span style="color: black;"> </span><span style="color: black;"><strong>Source</strong></span> เป็นการสืบค้นที่ผู้ใช้สามารถสืบค้นไปยังฐานข้อมูลของห้องสมุดอื่นซึ่งมีการติดตั้ง Z39.50 server โดยอาศัยการส่งผ่านข้อมูลทางโปรโตคอล Z39.50</span></div>
<div style="margin: 5px 0px; text-align: justify;">
<span style="color: black;">การสืบค้นแบบ Other Source มีวิธีการสืบค้นเช่นเดียวกับแบบ Advance Search แต่สามารถเลือกได้ว่าต้องการสืบค้นไปยังฐานข้อมูลของห้องสมุดใดที่เปิดให้บริการ ขั้นตอนการสืบค้นแบบ Other Source มีดังนี้<br />1. เลือกประเภทการสืบค้น วิธีการใช้งานเหมือนกับในส่วน Basic Search และ Advance Search<br />2. ป้อนค าค้นพร้อมเครื่องหมาย วิธีการใช้งานเหมือนกับใน Basic Search และ Advance Search<br />3.กรณีมีเงื่อนไขที่ต้องการค้นหาเพิ่มเติม ให้ป้อนตัวเชื่อมระหว่าง Field ตัวเชื่อมที่มีให้เลือกคือ NOT, AND, OR (ก าหนดให้ AND เป็นตัวเชื่อมเริ่มต้น) โดยสามารถป้อนได้สูงสุด 2 ชุด<br />4. กรณีต้องการ Limit Search เลือก Limit Search โดยมีวิธีการใช้งานเหมือนใน Basic Search และ Advance Search<br />5. เลือกใส่เครื่องหมายถูก หน้าชื่อมหาวิทยาลัยที่ต้องการสืบค้นข้อมูล โดยสามารถเลือกได้มากกว่า 1 ฐานข้อมูล<br />6. กดปุ่ม Search เพื่อสืบค้นข้อมูล</span></div>
<div style="margin: 5px 0px; text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="margin: 5px 0px; text-align: justify;">
<span style="color: black;"><strong><span style="color: black;">4 การสืบค้นโดยใช้ prefix</span></strong> ผู้ใช้สามารถใช้ prefix ที่ระบบได้ก าหนดไว้ โดยในการใช้งานจะระบุ prefix ไว้หน้าค าค้น เช่น ti=computer หมายถึง ให้ไปสืบค้นค าว่า computer จากเขตข้อมูลชื่อเรื่อง(Title) เป็นต้น</span></div>
<span style="color: black;">การสืบค้นแบบ Prefix เป็นการสืบค้นโดยที่ผู้ใช้ไม่จ าเป็นต้องเลือกประเภทการค้นจากตัวเลือกที่มีให้ แต่สามารถระบุเป็น prefix ไว้หน้าค าค้นได้เลย Prefix ที่มีให้ใช้งาน ได้แก่<br />- au: เป็นการสืบค้นแบบ Author Alphabetic<br />- ti: เป็นการสืบค้นแบบ Title Alphabetic<br />- su: เป็นการสืบค้นแบบ Subject Alphabetic<br />- se: เป็นการสืบค้นแบบ Series Alphabetic<br />- dc: เป็นการสืบค้นแบบตาม Dewey Callno<br />- lc: เป็นการสืบค้นแบบตาม LC Callno<br />- nc: เป็นการสืบค้นตาม NLM Callno<br />- loc: เป็นการสืบค้นตาม Local Callno<br />- bn: เป็นการสืบค้นตาม ISBN<br />- sn: เป็นการสืบค้นตาม ISSN<br />- au= เป็นการสืบค้นแบบ Author Keyword<br />- ti= เป็นการสืบค้นแบบ Title Keyword<br />- su= เป็นการสืบค้นแบบ Subject Keyword<br />- se= เป็นการสืบค้นแบบ Series Keyword<br />- bib= เป็นการสืบค้นตามหมายเลขบรรณานุกรม<br />- all= เป็นการสืบค้นแบบ All Fields<br />ในการสืบค้นด้วย Prefix สามารถใช้ร่วมกับตัวด าเนินการทางตรรกะได้ (AND, OR, NOT)</span><br /><br /><h2>
<span style="color: black;">search engine</span></h2>
<span style="color: black;"><strong>เสิร์ชเอนจิน</strong> (search engine) คือ โปรแกรมที่ช่วยในการสืบค้นหาข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต โดยครอบคลุมทั้งข้อความ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว เพลง ซอฟต์แวร์ แผนที่ ข้อมูลบุคคล กลุ่มข่าว และอื่น ๆ ซึ่งแตกต่างกันไปแล้วแต่โปรแกรมหรือผู้ให้บริการแต่ละราย. เสิร์ชเอนจินส่วนใหญ่จะค้นหาข้อมูลจากคำสำคัญ (คีย์เวิร์ด) ที่ผู้ใช้ป้อนเข้าไป จากนั้นก็จะแสดงรายการผลลัพธ์ที่มันคิดว่าผู้ใช้น่าจะต้องการขึ้นมา ในปัจจุบัน เสิร์ชเอนจินบางตัว เช่น กูเกิล จะบันทึกประวัติการค้นหาและการเลือกผลลัพธ์ของผู้ใช้ไว้ด้วย และจะนำประวัติที่บันทึกไว้นั้น มาช่วยกรองผลลัพธ์ในการค้นหาครั้งต่อ ๆ ไป</span><br /><span style="color: black;">สัดส่วนของผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกา (ข้อมูลจาก นิตยสารฟอรบส์ ฉบับวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2548)</span><br /><span style="color: black;">1. กูเกิล (Google) 36.9%<br />2. ยาฮูเสิร์ช (Yahoo! Search) 30.4%<br />3. เอ็มเอสเอ็นเสิร์ช (MSN Search) 15.7%</span><br /><span style="color: black;"><br /></span><br /><span style="color: black;">นอกจากด้านบน เว็บอื่น ๆ ที่เป็นที่นิยมได้แก่</span><br /><span style="color: black;">- เอโอแอล (AOL Search)<br />- อาส์ก (Ask)<br />- เอ 9 (A9)<br />- ไป่ตู้ (Baidu, 百度) เสิร์ชเอนจิน อันดับ 1 ของประเทศจีน</span><br /><h1>
<span style="color: black;">Search Engine คืออะไร</span></h1>
<span style="color: black;"><img alt="" src="http://t1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQh4e0K2cg5bNV8NBldJVVf33bkFVk-Xgnmy9ucxgi8H6E7W43f" /></span><br /><span style="color: black;"><strong><span style="color: black;"><span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: Verdana;">Google.com</span></span></span></strong><span style="color: black;"><span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: Verdana;"> เป็น <strong>Search Engine</strong> ตัวหนึ่ง (หรือจะเรียก ที่หนึ่ง ก็ได้) ซึ่งหากเราเราจะเรียกแบบบ้าน ๆ ตามประสาคนท่องเว็บแล้ว Search Engine ก็คือ เครื่องมือในการค้นหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตนั่นเอง นอกจาก <strong>Google</strong> แล้วยังมี <strong>Search Engine</strong> อีกหลาย ๆ ที่ ซึ่งดัง ๆ ที่เราพอจะคุ้นตาคุ้นหูอยู่บ้างก็อาทิเช่น Yahoo MSN เป็นต้น (ขอแนะนำที่ดัง ๆ เป็นพอ ไม่ดังไม่สน)</span></span></span></span><br /><span style="color: black;"><span style="color: black;"><span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: Verdana;"> </span></span><span style="color: black;"><span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: Verdana;">ซึ่งในปัจจุบันหากให้เดาเพื่อน ๆ คงจะพอเดาถูกว่า Search Engine ที่ดังที่สุด (มีคนใช้เยอะสุด ๆ) ก็คือ Search Engine พระเอกที่ชื่อว่า Google.com นั่นเอง ซึ่งเป็น Search Engine ที่มีคนใช้เยอะมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่มีให้บริการมาไม่กี่ปีนี่เอง เปิดบริการมาไม่นานก็แซงหน้าขาใหญ่เดิมอย่าง Yahoo ไปชนิดที่เรียกว่ามองแทบไม่เห็นฝุ่น ก็เพราะว่าด้วยรูปแบบที่ใช้งานง่าย และรวดเร็วนั่นเอง แถมเป็นภาษาไทยด้วย ยิ่งถูกใจคนไทยเป็นอย่างยิ่ง</span></span></span> </span></span><br /><span style="color: black;"><br /></span><span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: Verdana;"><span style="color: black;"><span style="color: black;">ซึ่งปรากฏการ google ฟรีเว่อร์นี้เอง ที่ทำให้คนส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็น Webmaster หันมาทำ SEO เจาะที่ Search Engine ที่มีชื่อว่า Google กันอย่างถล่มทะลาย</span></span><span style="color: black;"><br type="_moz" /></span></span></span><br /><span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: Verdana;"><span style="color: black;"><span style="color: black;">พูดไปเรื่องของ SEO แต่ล่ะที่ ที่ดัง ๆ ไปแล้ว เราก็มารู้เรื่องเกี่ยวกับประเภทของ Search Engine กันซักหน่อย ซึ่ง Search Engine ก็มีอยู่หลาย ๆ ประเภท ดังนี้</span><br /><br /><b>1. แบบอาศัยการเก็บข้อมูลเป็นหลัก (Crawler-Based Search Engine)</b></span><span style="color: black;"><span style="color: black;">หลักการนี้เป็นการใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Crawler-Based Search Engine เป็นเครื่องมือที่ทำการบันทึกและเก็บข้อมูลเป็นหลัก ซึ่งเป็นประเภท Search Engine ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน</span><br /><span style="color: black;">ซึ่งการทำงานประเภทนี้ จะใช้โปรแกรมตัวเล็ก ๆ ที่เรียกว่า</span> Web Crawler <span style="color: black;">หรือ </span>Spider <span style="color: black;">หรือที่เรียกอีกอย่างว่า</span> Search Engine Robots <span style="color: black;">หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า บอท ในภาษาไทย www คือเครือข่ายใยแมงมุม ตัวโปรแกรมเล็ก ๆ ตัวนี้ก็คือแมงมุมนั่นเอง โดยเจ้าแมงมุมตัวนี้จะทำการไต่ไปยังเว็บไซต์ต่าง ๆ ทั่วโลกอินเตอร์เน็ต โดยอาศัยไต่ไปตาม URL ต่าง ๆ ที่มีการเชื่อมโยงอยู่ในแต่ละเพจ แล้วทำการ Spider กวาดข้อมูลที่จำเป็นต่าง ๆ (ขึ้นอยู่กะ Search Engine แต่ละที่ว่าต้องการเก็บรวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง) แล้วเก็บลงฐานข้อมูล การใช้โปรแกรมกวาดข้อมูลแบบนี้ จึงทำให้ข้อมูลที่ได้มีความแม่นยำ และสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลได้เร็วมาก Search Engine ที่เป็นประเภทนี้ เช่น Google Yahoo MSN</span></span></span></span><br /><span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: Verdana;"><span style="color: black;"><b>2. แบบสารบัญเว็บไซต์ (Web Directory)</b></span><span style="color: black;"><span style="color: black;">Search Engine ที่เป็นแบบนี้มีอยู่หลายเว็บไซต์มาก ๆ ที่ดังที่สุดในเมืองไทย ที่เอ่ยออกไปใครใครคงต้องรู้จัก นั้นก็คือที่สารบัญเว็บของ Sanook.com ซึ่งหลาย ๆ คนคงเคยเข้าไปใช้บริการ หรืออย่างที่ Truehits.com เป็นต้น<br /><br />ส่งที่เราจะสังเกตเห็นจาก Search Engine ประเภทนี้ก็คือ ลักษณะของการจัดเก็บข้อมูลที่แสดงให้เราเห็นทั้งหมด ว่ามีเว็บอะไรบ้างอยู่ในฐานข้อมูล ซึ่งแตกต่างจากประเภทแรก ที่หากคุณไม่ค้นหาโดยใช้คำค้น หรือ Keyword แล้ว คุณจะมีทางทราบเลยว่ามีเว็บไซต์อะไรอยู่บ้าง และมีเว็บอยู่เท่าไหร่<br /><br />แบบสารบัญเว็บไซต์ จะแสดงข้อมูลที่รวบรวมเว็บไซต์ที่มีทั้งหมดในฐานข้อมูล และจะแบ่งเป็นหมวดหมู่ และอาจจะมีหมวดหมู่ย่อย ซึ่งผู้ค้นหาข้อมูลสามารถคลิกเข้าไปดูได้<br /><br />หลักการทำงานแบบนี้ จะอาศัยการเพิ่มข้อมูลจากเจ้าของเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ต้องการประชาสัมพันธ์เว็บ หรืออาจใช้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลส่วน Search Engine เป็นผู้หาข้อมูลเว็บไซต์มาเพิ่มในฐานข้อมูล ซึ่งข้อมูลในส่วนของสารบัญเว็บไซต์จะเน้นในด้านความถูกต้องของฐานข้อมูล ซึ่งข้อมูลเว็บไซต์ที่ถูกเพิ่มเข้ามาจะถูกตรวจสอบและแก้ไขจากผู้ดูแล</span></span></span></span><br /><br /><span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: Verdana;"><span style="color: black;"><b>3. แบบอ้างอิงในคำสั่ง Meta Tag (Meta Search Engine )</b></span><span style="color: black;"><span style="color: black;">Search Engine ประเภทนี้จะอาศัยข้อมูลใน Meta tag (อยากรู้ดูในบทความหน้า) ซึ่งเป็นส่วนของข้อมูลที่อยู่ในแท็ก HEAD ของภาษา HTML ซึ่งข้อมูลในส่วนนี้ จะเป็นส่วนที่ให้ข้อมูลกับ Search Engine Robots<br /><br />Search Engine ประเภทนี้ไม่มีฐานข้อมูลของตนเอง แต่จะอาศัยข้อมูลจาก Search Engine Index Server ของที่อื่น ๆ ซึ่งข้อมูลจะมาจาก Server หลาย ๆ ที่ ดังนั้น จึงมักได้ผลลัพธ์จากการค้นหาที่ไม่แม่นยำ</span></span></span></span><br /><br /><span style="color: black;"><br /></span>kamin JThttp://www.blogger.com/profile/04554982606832858660noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8658614255890124860.post-59579103669472870882012-05-03T00:03:00.001-07:002012-05-03T00:03:21.655-07:00<h3 class="read-h">
<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="width: 650px;"><tbody>
<tr><td align="left" valign="top" width="560"><div class="news-content">
<span style="font-size: small;"><strong>"จอน รัสเซลล์"</strong> สื่อมวลชนที่สนใจในเรื่องเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตในภูมิภาคเอเชีย ได้เผยแพร่บทความชื่อ <strong>"แม้ยอดการใช้อินเตอร์เน็ตเคลื่อนที่จะพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไงประเทศไทยก็ยังคงไร้ 3 จี"</strong> (Mobile internet flourishing in Thailand, but still no 3G) ลงในเว็บไซต์ asiancorrespondent.com ซึ่งมีเนื้อหาโดยสรุปว่า <strong>แม้จำนวนการใช้อินเตอร์เน็ตเคลื่อนที่ (โมบาย อินเตอร์เน็ต) ในประเทศไทยจะเพิ่มสูงขึ้น แต่อัตราการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตในพื้นที่ชนบทและกึ่งชนบทกลับยังต่ำอยู่ ทั้งนี้ รัสเซลล์เห็นว่า การมีโครงข่ายอินเตอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูงหรือ 3 จี จะช่วยทำให้ผู้คนในสังคมไทยเข้าถึงอินเตอร์ได้อย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น</strong><br />
<br />รัสเซลล์เริ่มต้นบทความของเขาโดยอ้างรายงานการสำรวจล่าสุดว่า <span style="color: #0000aa;">ธุรกิจโทรคมนาคมและอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในประเทศไทยกำลังกำลังเติบโตและมีศักยภาพที่ดี แม้ว่าเครือข่ายอินเตอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง (3 จี) ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้</span><br />
<br />ดังที่รายงานของบริษัทวิจัยการตลาด <strong>"นีลเส็น"</strong> ระบุว่า แม้ประเทศไทยจะยังไม่มีระบบอินเตอร์เน็ต 3 จีครอบคลุมทั่วประเทศ แต่ไทยก็เป็นหนึ่งในบรรดาประเทศของทวีปเอเชียที่มียอดผู้ใช้อินเตอร์เน็ตเคลื่อนที่สูงที่สุด <br />
<br /><span style="color: #0000aa;">"ประเทศไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ยังไม่มีเครือข่าย 3 จี"</span> นายอารอน ครอส กรรมการผู้จัดการแผนกลูกค้าสัมพันธ์ของนีลเส็นประจำประเทศไทยตั้งข้อสังเกต <span style="color: #0000aa;">"อย่างไรก็ดี ผลพวงของการใช้เว็บไซต์โซเชียลมีเดียอย่างกว้างขวางในประเทศ ทำให้เทคโนโลยีการสื่อสารเคลื่อนที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ การมาถึงของสมาร์ทโฟนเช่น ไอโฟน หรือแบล็คเบอร์รี่ ก็ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ง่ายขึ้น ทุกที่ ทุกเวลา และความพร้อมที่จะตอบรับเทคโนโลยีใหม่ๆของคนไทยแสดงให้เห็นศักยภาพของตลาดดังกล่าว แม้ว่าจะขาดผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตเคลื่อนที่ความเร็วสูงในประเทศนี้ก็ตาม"</span><br />
<br />อย่างไรก็ตาม ข่าวร้ายที่เกิดขึ้นก็คือ <strong>ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระดับการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตต่ำที่สุดในภูมิภาค</strong> โดยรายงานของนีลเส็นได้ให้ข้อมูลไว้ว่า<br />
<br />
<strong><span style="color: #0000aa;">"ประเทศไทยเป็นหนึ่งในบรรดาประเทศที่มีระดับการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตที่ต่ำที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยพบว่าน้อยกว่า 1 ใน 3 ของประชากรไทยที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป (31 เปอร์เซ็นต์) มีโอกาสได้ใช้อินเตอร์เน็ต ซึ่งถือเป็นอัตราที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค คือ 38 เปอร์เซ็นต์ อยู่ 7 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ คนไทยที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปยังมีอัตราการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตต่ำที่สุดในประเทศ โดยมีจำนวนเพียงแค่ 7 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น"</span></strong><br />
<br />รัสเซลล์ระบุต่อว่า ไม่เพียงแต่ราคาของอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตจะอยู่สูงเกินเอื้อมสำหรับคนไทยจำนวนมาก แต่สัญญาการให้บริการระยะยาวซึ่งขัดแย้งกับวัฒนธรรมการชำระค่าบริการแบบชำระล่วงหน้า (พรีเพด) ที่คนไทยส่วนใหญ่คุ้นเคย รวมทั้งระบบโครงสร้างพื้นฐานนอกพื้นที่เมืองซึ่งมีคุณภาพย่ำแย่ ก็ถือเป็นอุปสรรคอีกอย่างหนึ่งในการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตของคนชนบท และคนกึ่งชนบทในประเทศไทย<br />
<br />ผู้สื่อข่าวรายนี้ยังอ้างถึงรายงานของบริษัท <strong>"เดเวล็อปปิ้ง เทเลคอม"</strong> ที่ใช้ให้เห็นว่า ตลาดอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในประเทศไทยกำลังเติบโต แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังไม่มีตัวเลขใดที่สามารถยืนยันการกล่าวอ้างของบริษัท <strong>"บิสสิเนซ มอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล" (บีเอ็มไอ)</strong> ที่ระบุว่า "จำนวนผู้สมัครสมาชิกอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในช่วงปลายปี 2553 ของประเทศไทยนั้นมีจำนวนสูงเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้"<br />
<br />แต่ข้อมูลสำคัญ ที่รายงานของทั้งสองบริษัทระบุตรงกัน ก็คือ <span style="color: #0000aa;">การใช้อินเตอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือในประเทศไทยนั้นกำลังมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะที่อินเตอร์เน็ตแบบใช้สาย (fixed-line) นั้นยังคงมีคุณภาพการให้บริการที่ต่ำกว่ามาตรฐานเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน</span><br />
<br />ขณะเดียวกัน <span style="color: #0000aa;">แม้ว่าในระยะสั้น การไร้ซึ่งเครือข่าย 3 จีจะไม่ได้ทำให้ชาวเมืองผู้ร่ำรวยหยุดใช้อินเตอร์เน็ตไร้สายผ่านสมาร์ทโฟน <strong>แต่ในระยะยาว การไม่มีเครือข่าย 3 จีดังกล่าวจะส่งผลให้ศักยภาพในการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตของผู้ที่อยู่นอกเขตเมืองถูกชะลอออกไป</strong></span><strong> </strong><br />
<br />รัสเซลล์สรุปบทความของเขาว่า เทคโนโลยีแบบก้าวกระโดดในประเทศที่พัฒนาแล้ว ได้ทำให้ผู้คนเลิกใช้อินเตอร์เน็ตมีสายแบบเดิม เพราะว่าเทคโนโลยีใหม่นั้นนำเสนอตัวเลือกที่ดีและสะดวกกว่า ดังนั้น <span style="color: #0000aa;"><strong>การมีเครือข่าย 3 จีก็จะมีส่วนช่วยทำให้คนไทยหลายคนก้าวข้ามการใช้อินเตอร์เน็ตแบบใช้สายไปสู่การใช้อินเตอร์เน็ตไร้สายหรืออินเตอร์เน็ตเคลื่อนที่ผ่านสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต โน้ตบุ๊ค หรือเครื่องคอมพิวเตอร์พีซี </strong></span><br />
<br /><strong>อย่างไรก็ตาม สำหรับในตอนนี้ วิสัยทัศน์ดังกล่าวยังคงเป็นเพียงแค่คำสัญญาที่ไม่ได้รับการเติมเต็ม</strong></span></div>
<!--<font size="2" color="#892000">อ่านล่าสุด คน</font>--></td></tr>
<!-- FB COMMENT -->
<tr><td align="right" colspan="2" valign="top"><div id="fb-root">
</div>
<comments href="www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1310723497&grpid=&catid=09&subcatid=0904" num_posts="3" width="560"></comments><script src="http://connect.facebook.net/en_US/all.js#appId=186740354700554&xfbml=1">
</script></td></tr>
<!-- END FB COMMENT --></tbody></table>
<!-- Start ADS Google Adsense 468x60--><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="width: 650px;"><tbody>
<tr><td align="left" valign="top" width="560"><div class="news-content">
<span style="font-size: small;"><strong>"จอน รัสเซลล์"</strong> สื่อมวลชนที่สนใจในเรื่องเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตในภูมิภาคเอเชีย ได้เผยแพร่บทความชื่อ <strong>"แม้ยอดการใช้อินเตอร์เน็ตเคลื่อนที่จะพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไงประเทศไทยก็ยังคงไร้ 3 จี"</strong> (Mobile internet flourishing in Thailand, but still no 3G) ลงในเว็บไซต์ asiancorrespondent.com ซึ่งมีเนื้อหาโดยสรุปว่า <strong>แม้จำนวนการใช้อินเตอร์เน็ตเคลื่อนที่ (โมบาย อินเตอร์เน็ต) ในประเทศไทยจะเพิ่มสูงขึ้น แต่อัตราการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตในพื้นที่ชนบทและกึ่งชนบทกลับยังต่ำอยู่ ทั้งนี้ รัสเซลล์เห็นว่า การมีโครงข่ายอินเตอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูงหรือ 3 จี จะช่วยทำให้ผู้คนในสังคมไทยเข้าถึงอินเตอร์ได้อย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น</strong><br />
<br />รัสเซลล์เริ่มต้นบทความของเขาโดยอ้างรายงานการสำรวจล่าสุดว่า <span style="color: #0000aa;">ธุรกิจโทรคมนาคมและอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในประเทศไทยกำลังกำลังเติบโตและมีศักยภาพที่ดี แม้ว่าเครือข่ายอินเตอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง (3 จี) ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้</span><br />
<br />ดังที่รายงานของบริษัทวิจัยการตลาด <strong>"นีลเส็น"</strong> ระบุว่า แม้ประเทศไทยจะยังไม่มีระบบอินเตอร์เน็ต 3 จีครอบคลุมทั่วประเทศ แต่ไทยก็เป็นหนึ่งในบรรดาประเทศของทวีปเอเชียที่มียอดผู้ใช้อินเตอร์เน็ตเคลื่อนที่สูงที่สุด <br />
<br /><span style="color: #0000aa;">"ประเทศไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ยังไม่มีเครือข่าย 3 จี"</span> นายอารอน ครอส กรรมการผู้จัดการแผนกลูกค้าสัมพันธ์ของนีลเส็นประจำประเทศไทยตั้งข้อสังเกต <span style="color: #0000aa;">"อย่างไรก็ดี ผลพวงของการใช้เว็บไซต์โซเชียลมีเดียอย่างกว้างขวางในประเทศ ทำให้เทคโนโลยีการสื่อสารเคลื่อนที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ การมาถึงของสมาร์ทโฟนเช่น ไอโฟน หรือแบล็คเบอร์รี่ ก็ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ง่ายขึ้น ทุกที่ ทุกเวลา และความพร้อมที่จะตอบรับเทคโนโลยีใหม่ๆของคนไทยแสดงให้เห็นศักยภาพของตลาดดังกล่าว แม้ว่าจะขาดผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตเคลื่อนที่ความเร็วสูงในประเทศนี้ก็ตาม"</span><br />
<br />อย่างไรก็ตาม ข่าวร้ายที่เกิดขึ้นก็คือ <strong>ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระดับการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตต่ำที่สุดในภูมิภาค</strong> โดยรายงานของนีลเส็นได้ให้ข้อมูลไว้ว่า<br />
<br />
<strong><span style="color: #0000aa;">"ประเทศไทยเป็นหนึ่งในบรรดาประเทศที่มีระดับการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตที่ต่ำที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยพบว่าน้อยกว่า 1 ใน 3 ของประชากรไทยที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป (31 เปอร์เซ็นต์) มีโอกาสได้ใช้อินเตอร์เน็ต ซึ่งถือเป็นอัตราที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค คือ 38 เปอร์เซ็นต์ อยู่ 7 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ คนไทยที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปยังมีอัตราการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตต่ำที่สุดในประเทศ โดยมีจำนวนเพียงแค่ 7 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น"</span></strong><br />
<br />รัสเซลล์ระบุต่อว่า ไม่เพียงแต่ราคาของอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตจะอยู่สูงเกินเอื้อมสำหรับคนไทยจำนวนมาก แต่สัญญาการให้บริการระยะยาวซึ่งขัดแย้งกับวัฒนธรรมการชำระค่าบริการแบบชำระล่วงหน้า (พรีเพด) ที่คนไทยส่วนใหญ่คุ้นเคย รวมทั้งระบบโครงสร้างพื้นฐานนอกพื้นที่เมืองซึ่งมีคุณภาพย่ำแย่ ก็ถือเป็นอุปสรรคอีกอย่างหนึ่งในการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตของคนชนบท และคนกึ่งชนบทในประเทศไทย<br />
<br />ผู้สื่อข่าวรายนี้ยังอ้างถึงรายงานของบริษัท <strong>"เดเวล็อปปิ้ง เทเลคอม"</strong> ที่ใช้ให้เห็นว่า ตลาดอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในประเทศไทยกำลังเติบโต แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังไม่มีตัวเลขใดที่สามารถยืนยันการกล่าวอ้างของบริษัท <strong>"บิสสิเนซ มอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล" (บีเอ็มไอ)</strong> ที่ระบุว่า "จำนวนผู้สมัครสมาชิกอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในช่วงปลายปี 2553 ของประเทศไทยนั้นมีจำนวนสูงเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้"<br />
<br />แต่ข้อมูลสำคัญ ที่รายงานของทั้งสองบริษัทระบุตรงกัน ก็คือ <span style="color: #0000aa;">การใช้อินเตอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือในประเทศไทยนั้นกำลังมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะที่อินเตอร์เน็ตแบบใช้สาย (fixed-line) นั้นยังคงมีคุณภาพการให้บริการที่ต่ำกว่ามาตรฐานเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน</span><br />
<br />ขณะเดียวกัน <span style="color: #0000aa;">แม้ว่าในระยะสั้น การไร้ซึ่งเครือข่าย 3 จีจะไม่ได้ทำให้ชาวเมืองผู้ร่ำรวยหยุดใช้อินเตอร์เน็ตไร้สายผ่านสมาร์ทโฟน <strong>แต่ในระยะยาว การไม่มีเครือข่าย 3 จีดังกล่าวจะส่งผลให้ศักยภาพในการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตของผู้ที่อยู่นอกเขตเมืองถูกชะลอออกไป</strong></span><strong> </strong><br />
<br />รัสเซลล์สรุปบทความของเขาว่า เทคโนโลยีแบบก้าวกระโดดในประเทศที่พัฒนาแล้ว ได้ทำให้ผู้คนเลิกใช้อินเตอร์เน็ตมีสายแบบเดิม เพราะว่าเทคโนโลยีใหม่นั้นนำเสนอตัวเลือกที่ดีและสะดวกกว่า ดังนั้น <span style="color: #0000aa;"><strong>การมีเครือข่าย 3 จีก็จะมีส่วนช่วยทำให้คนไทยหลายคนก้าวข้ามการใช้อินเตอร์เน็ตแบบใช้สายไปสู่การใช้อินเตอร์เน็ตไร้สายหรืออินเตอร์เน็ตเคลื่อนที่ผ่านสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต โน้ตบุ๊ค หรือเครื่องคอมพิวเตอร์พีซี </strong></span><br />
<br /><strong>อย่างไรก็ตาม สำหรับในตอนนี้ วิสัยทัศน์ดังกล่าวยังคงเป็นเพียงแค่คำสัญญาที่ไม่ได้รับการเติมเต็ม</strong></span></div>
<!--<font size="2" color="#892000">อ่านล่าสุด คน</font>--></td></tr>
<!-- FB COMMENT -->
<tr><td align="right" colspan="2" valign="top"><div id="fb-root">
</div>
<comments href="www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1310723497&grpid=&catid=09&subcatid=0904" num_posts="3" width="560"></comments><script src="http://connect.facebook.net/en_US/all.js#appId=186740354700554&xfbml=1">
</script></td></tr>
<!-- END FB COMMENT --></tbody></table>
<!-- Start ADS Google Adsense 468x60--><br /><br /> Internet คือ การที่หลาย ๆ เครือข่ายเชื่อมต่อกันและทำงานเสมือนเป็นเครือข่ายอันเดียวกัน ในอดีตเมื่อเริ่มมีการนำเครื่อง คอมพิวเตอร์ หรือ PC มาใช้งานในเชิงธุรกิจในยุกแรกนั้น ๆ เนื่องจากมีการพัฒนา Application ทางธุรกิจให้เลือกใช้งานมากมาย ก็ทำให้จำนวนการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมีเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่ได้ถูกเชื่อมโยงกัน ทำให้ ผู้ใช้พบปัญหาต่าง ๆ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์บางเครื่องไม่ได้ต่อเครื่องพิมพ์ไว้เวลาจะพิมพ์งานก็จะเอาข้อมูลนั้นไปพิมพ์ที่เครื่องอื่น ทำให้ไม่สะดวกและยุ่งยาก ยิ่งเมื่อองค์กรธุรกิจนั้นขยายตัวมากก็ทำให้ปัญหาการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์แบบเครื่องเดี่ยวโดด ๆ (Stand alone )กลายเป็นความไม่สะดวกเท่าที่ควร ทางแก้ไขคือ การติดตั้งระบบเครือข่าย Lan เพื่อเชื่อมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้สามารถใช้งานร่วมกันได้ เครือข่าย LAN ช่วยทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานข้อมูลร่วมกันกับหน่วยงานอื่น ๆ ได้หรือ สามารถส่งผ่านข้อมูลไปมาระหว่างหน่วยงานได้อย่างราบรื่น รวมถึงการใช้งานเครื่องพิมพ์ธรรมดา ๆ ก็ถูกแทนที่ด้วยเครื่องพิมพ์เลเซอร์ความเร็วสูงเพื่อใช้งานกันในหน่วยงานต่าง ๆ <br /> อินเทอร์เน็ต (Internet) มาจากคำว่า Inter Connection Network หมายถึง เครือข่ายของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ระบบต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกัน ลักษณะของระบบอินเทอร์เน็ต เป็นเสมือนใยแมงมุม ที่ครอบคลุมทั่วโลก ในแต่ละจุดที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตนั้น สามารถสื่อสารกันได้หลายเส้นทาง โดยไม่กำหนดตายตัว และไม่จำเป็นต้องไปตามเส้นทางโดยตรง อาจจะผ่านจุดอื่น ๆ หรือ เลือกไปเส้นทางอื่นได้หลาย ๆ เส้นทาง ดังรูป <br />
<center><a class="image" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99.jpg" title="ภาพ:วัน.jpg"><img alt="ภาพ:วัน.jpg" height="203" longdesc="/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99.jpg" src="http://www.panyathai.or.th/wiki/images/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99.jpg" width="378" /></a></center> อินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน ถูกพัฒนามาจากโครงการวิจัยทางการทหารของกระทรวงกลาโหมของประเทศ สหรัฐอเมริกา คือAdvanced Research Projects Agency (ARPA) ในปี 1969 โครงการนี้เป็นการวิจัยเครือข่ายเพื่อการสื่อสารของการทหารในกองทัพอเมริกา หรืออาจเรียกสั้นๆ ได้ว่า ARPA Net ในปี ค.ศ. 1970 ARPA Net ได้มีการพัฒนาเพิ่มมากขึ้นโดยการเชื่อมโยงเครือข่ายร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกา คือ มหาวิทยาลัยยูทาห์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ซานตาบาบารา มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ลอสแองเจลิส และสถาบันวิจัยของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และหลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มีการใช้ อินเทอร์เน็ตกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น <br />
สำหรับในประเทศไทย อินเทอร์เน็ตเริ่มมีการใช้ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2530 ที่มหาวิยาลัยสงขลานครินทร์ โดยได้รับความช่วยเหลือจากโครงการ IDP (The International Development Plan) เพื่อให้มหาวิทยาลัยสามารถติต่อสื่อสารทางอีเมลกับมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นในออสเตรเลียได้ ได้มีการติดตั้งระบบอีเมลขึ้นครั้งแรก โดยผ่านระบบโทรศัพท์ ความเร็วของโมเด็มที่ใช้ในขณะนั้นมีความเร็ว 2,400 บิต/วินาที จนกระทั่งวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2531 ได้มีการส่งอีเมลฉบับแรกที่ติดต่อระหว่างประเทศไทยกับมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์จึงเปรียบเสมือนประตูทางผ่าน (Gateway) ของไทยที่เชื่อมต่อไปยังออสเตรเลียในขณะนั้น <br />
ในปี พ.ศ. 2533 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ได้เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ของสถาบันการศึกษาของรัฐ โดยมีชื่อว่า เครือข่ายไทยสาร (Thai Social/Scientific Academic and Research Network : ThaiSARN) ประกอบด้วย มหาวิยาลัยสงขลานครินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตภายในประเทศ เพื่อการศึกษาและวิจัย <br />
ในปี พ.ศ. 2538 ได้มีการบริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ขึ้น เพื่อให้บริการแก่ประชาชน และภาคเอกชนต่างๆ ที่ต้องการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โดยมีบริษัทอินเทอร์เน็ตไทยแลนด์ (Internet Thailand) เป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (Internet Service Provider: ISP) เป็นบริษัทแรก เมื่อมีคนนิยมใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น บริษัทที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตจึงได้ก่อตั้งเพิ่มขึ้นอีกมากมาย <br />
<a href="" name=".E0.B8.A3.E0.B8.B0.E0.B8.9A.E0.B8.9A.E0.B8.AD.E0.B8.B4.E0.B8.99.E0.B9.80.E0.B8.97.E0.B8.AD.E0.B8.A3.E0.B9.8C.E0.B9.80.E0.B8.99.E0.B9.87.E0.B8.95.E0.B8.82.E0.B8.AD.E0.B8.87.E0.B8.9B.E0.B8.A3.E0.B8.B0.E0.B9.80.E0.B8.97.E0.B8.A8.E0.B9.84.E0.B8.97.E0.B8.A2"></a><h3>
<span class="editsection">[<a href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B9%87%E0%B8%95&action=edit&section=2" title="Edit section: ระบบอินเทอร์เน็ตของประเทศไทย">แก้ไข</a>]</span> <span class="mw-headline">ระบบอินเทอร์เน็ตของประเทศไทย</span></h3>
ช่องสัญญาณการเชื่อมต่อภายในประเทศ <br />
ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตสามารถเลือกเช่าช่องสัญญาณได้โดยเสรี ทั้งจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท.) การสื่อสารแห่งประเทศไทย หรือ กสท. (Communication Authority of Thailand: CAT) เทเลคอมเอเชีย (TelecomAsia) และ ดาต้าเน็ต (DataNet) โดยวงจรของทุกราย จะเชื่อมต่อกับจุดแลกเปลี่ยนสัญญาณภายในประเทศ เพื่อความรวดเร็วในการแลกเปลี่ยนข้อมูล นั่นคือ การติดต่อสื่อสารระหว่างคู่สื่อสารในประเทศไทย สามารถทำได้สะดวก ไม่ว่าคู่สื่อสารนั้น จะใช้บริการของ ISP รายใดก็ตาม ทั้งนี้จุดแลกเปลี่ยนในปัจจุบันได้แก่ IIR (Internet Information Research) ของเนคเทคและ NIX (National Internet Exchange) ของ การสื่อสารแห่งประเทศไทย <br />
ช่องสัญญาณการเชื่อมต่อระหว่างประเทศ <br />
การให้บริการอินเทอร์เน็ตจะต้องผ่านการสื่อสารแห่งประเทศไทยเท่านั้น เนื่องจากกฎหมายปัจจุบันยังไม่อนุญาตให้ทำการส่งข้อมูล เข้า-ออก ของประเทศไทยโดยปราศจากการควบคุมของ กสท. โดย ISP จะเชื่อมสัญญาณเข้ากับ IIG (International Internet Gateway) <br />
<a href="" name=".E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B8.97.E0.B8.B3.E0.B8.87.E0.B8.B2.E0.B8.99.E0.B8.82.E0.B8.AD.E0.B8.87.E0.B8.AD.E0.B8.B4.E0.B8.99.E0.B9.80.E0.B8.97.E0.B8.AD.E0.B8.A3.E0.B9.8C.E0.B9.80.E0.B8.99.E0.B9.87.E0.B8.95"></a><h3>
<span class="editsection">[<a href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B9%87%E0%B8%95&action=edit&section=3" title="Edit section: การทำงานของอินเทอร์เน็ต">แก้ไข</a>]</span> <span class="mw-headline">การทำงานของอินเทอร์เน็ต</span></h3>
การสื่อสารข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์จะมีโปรโตคอล (Protocol) ซึ่งเป็นระเบียบวิธีการสื่อสารที่เป็นมาตรฐานของการเชื่อมต่อกำหนดไว้ โปรโตคอลที่เป็นมาตรฐานสำหรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต คือ TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol) <br />
เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจะต้องมีหมายเลขประจำเครื่อง ที่เรียกว่า IP Address เพื่อเอาไว้อ้างอิงหรือติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆ ในเครือข่าย ซึ่ง IP ในที่นี้ก็คือ Internet Protocol ตัวเดียวกับใน TCP/IP นั่นเอง IP address ถูกจัดเป็นตัวเลขชุดหนึ่งขนาด 32 บิต ใน 1 ชุดนี้จะมีตัวเลขถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ส่วนละ 8 บิตเท่าๆ กัน เวลาเขียนก็แปลงให้เป็นเลขฐานสิบก่อนเพื่อความง่ายแล้วเขียนโดยคั่นแต่ละส่วนด้วยจุด (.) ดังนั้นในตัวเลขแต่ละส่วนนี้จึงมีค่าได้ไม่เกิน 256 คือ ตั้งแต่ 0 จนถึง 255 เท่านั้น เช่น IP address ของเครื่องคอมพิวเตอร์ของสถาบันราชภัฎสวนดุสิต คือ 203.183.233.6 ซึ่ง IP Address ชุดนี้จะใช้เป็นที่อยู่เพื่อติดต่อกับเครื่องพิวเตอร์อื่นๆ ในเครือข่าย <br />
<a href="" name=".E0.B9.82.E0.B8.94.E0.B9.80.E0.B8.A1.E0.B8.99.E0.B9.80.E0.B8.99.E0.B8.A1_.28Domain_name_system_:DNS.29"></a><h3>
<span class="editsection">[<a href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B9%87%E0%B8%95&action=edit&section=4" title="Edit section: โดเมนเนม (Domain name system :DNS)">แก้ไข</a>]</span> <span class="mw-headline">โดเมนเนม (Domain name system :DNS) </span></h3>
เนื่องจากการติดต่อสื่อสารกันกันในระบบอินเทอร์เน็ตใช้โปรโตคอล TCP/IP เพื่อสื่อสารกัน โดยจะต้องมี IP address ในการอ้างอิงเสมอ แต่ IP address นี้ถึงแม้จะจัดแบ่งเป็นส่วนๆ แล้วก็ยังมีอุปสรรคในการที่ต้องจดจำ ถ้าเครื่องที่อยู่ในเครือข่ายมีจำนวนมากขึ้น การจดจำหมายเลข IP ดูจะเป็นเรื่องยาก และอาจสับสนจำผิดได้ แนวทางแก้ปัญหาคือการตั้งชื่อหรือตัวอักษรขึ้นมาแทนที่ IP address ซึ่งสะดวกในการจดจำมากกว่า เช่น IP address คือ 203.183.233.6 แทนที่ด้วยชื่อ dusit.ac.th ผู้ใช้งานสามารถ จดจำชื่อ dusit.ac.th ได้ง่ายกว่า การจำตัวเลขโดเมนที่ได้รับความนิยมกันทั่วโลก ที่ถือว่าเป็นโดเมนสากล มีดังนี้ คือ <br />
.com ย่อมาจาก commercial สำหรับธุรกิจ <br />
.edu ย่อมาจาก education สำหรับการศึกษา <br />
.int ย่อมาจาก International Organization สำหรับองค์กรนานาชาติ <br />
.org ย่อมาจาก Organization สำหรับหน่วยงานที่ไม่แสวงหากำไร <br />
.net ย่อมาจาก Network สำหรับหน่วยงานที่มีเครือข่ายของ ตนเองและทำธุรกิจด้านเครือข่าย <br />
<a href="" name=".E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B8.82.E0.B8.AD.E0.B8.88.E0.B8.94.E0.B8.97.E0.B8.B0.E0.B9.80.E0.B8.9A.E0.B8.B5.E0.B8.A2.E0.B8.99.E0.B9.82.E0.B8.94.E0.B9.80.E0.B8.A1.E0.B8.99"></a><h3>
<span class="editsection">[<a href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B9%87%E0%B8%95&action=edit&section=5" title="Edit section: การขอจดทะเบียนโดเมน">แก้ไข</a>]</span> <span class="mw-headline">การขอจดทะเบียนโดเมน </span></h3>
การขอจดทะเบียนโดเมนต้องเข้าไปจะทะเบียนกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ ชื่อโดเมนที่ขอจดนั้นไม่สามารถซ้ำกับชื่อที่มีอยู่เดิม เราสามารถตรวจสอบได้ว่ามีชื่อโดเมนนั้นๆ หรือยังได้จากหน่วยงานที่เราจะเข้าไปจดทะเบียน <br />
การขอจดทะเบียนโดเมน มี 2 วิธี ด้วยกัน คือ <br />
1. การขอจดะเบียนให้เป็นโดเมนสากล (.com .edu .int .org .net ) ต้องขอจดทะเบียนกับ www.networksolution.com ซึ่งเดิม คือ www.internic.net เช่น www.kapook.com <br />
2. การขอทดทะเบียนที่ลงท้ายด้วย .th (Thailand)ต้องจดทะเบียนกับ www.thnic.net <br />
โดเมนเนมที่ลงท้าย ด้วย .th ประกอบด้วย <br />
.ac.th ย่อมาจาก Academic Thailand สำหรับสถานศึกษาในประเทศไทย <br />
.co.th ย่อมาจาก Company Thailand สำหรับบริษัทที่ทำธุรกิจในประเทศไทย <br />
.go.th ย่อมาจาก Government Thailand สำหรับหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาล <br />
.net.th ย่อมาจาก Network Thailand สำหรับบริษัทที่ทำธุรกิจด้านเครือข่าย <br />
.or.th ย่อมาจาก Organization Thailand สำหรับหน่วยงานที่ไม่แสวงหากำไร <br />
.in.th ย่อมาจาก Individual Thailand สำหรับของบุคคลทั่วๆ ไป <br />
<a href="" name=".E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B9.80.E0.B8.8A.E0.B8.B7.E0.B9.88.E0.B8.AD.E0.B8.A1.E0.B8.95.E0.B9.88.E0.B8.AD.E0.B8.AD.E0.B8.B4.E0.B8.99.E0.B9.80.E0.B8.97.E0.B8.AD.E0.B8.A3.E0.B9.8C.E0.B9.80.E0.B8.99.E0.B9.87.E0.B8.95.E0.B9.81.E0.B8.9A.E0.B8.9A.E0.B9.83.E0.B8.8A.E0.B9.89.E0.B8.AA.E0.B8.B2.E0.B8.A2_.28Wire_Internet.29"></a><h3>
<span class="editsection">[<a href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B9%87%E0%B8%95&action=edit&section=6" title="Edit section: การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบใช้สาย (Wire Internet)">แก้ไข</a>]</span> <span class="mw-headline">การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบใช้สาย (Wire Internet) </span></h3>
1. การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตรายบุคคล (Individual Connection) <br />
การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตรายบุคคล คือ การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจากที่บ้าน (Home user) ซึ่งยังต้องอาศัยคู่สายโทรศัพท์ในการเข้าสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ต ผู้ใช้ต้องสมัครเป็นสมาชิกกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตก่อน จากนั้นจะได้เบอร์โทรศัพท์ของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต รหัสผู้ใช้ (User name) และรหัสผ่าน (Password) ผู้ใช้จะเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตได้โดยใช้โมเด็มที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้หมุนไปยังหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต จากนั้นจึงสามารถใช้ งานอินเทอร์เน็ตได้ ดังรูป <br />
<center><a class="image" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:%E0%B9%81%E0%B8%9C.jpg" title="ภาพ:แผ.jpg"><img alt="ภาพ:แผ.jpg" height="243" longdesc="/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:%E0%B9%81%E0%B8%9C.jpg" src="http://www.panyathai.or.th/wiki/images/%E0%B9%81%E0%B8%9C.jpg" width="447" /></a></center><br /> องค์ประกอบของการใช้อินเทอร์เน็ตรายบุคคล <br />
1.โทรศัพท์ <br />
2.เครื่องคอมพิวเตอร์ <br />
3.ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะให้เบอร์โทรศัพท์ รหัสผู้ใช้และรหัสผ่าน <br />
4.โมเด็ม (Modem) <br />
โมเด็ม คือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการแปลงสัญญาณ เนื่องจากสัญญาณในคอมพิวเตอร์เป็นสัญญาณดิจิทัล (Digital) แต่สัญญาณเสียงในระบบโทรศัพท์เป็นสัญญาณอนาล็อก (Analog) ดังนั้นเมื่อต้องการเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตจึงต้องใช้โมเด็มเพื่อเป็นอุปกรณ์ในการแปลงสัญญาณดิจิทัลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เป็นสัญญาณอนาล็อกตามสายโทรศัพท์ และแปลงกลับจากสัญญาณอนาล็อกเป็นสัญญาณดิจิทัล เมื่อถึงปลายทาง <br />
ความเร็วของโมเด็มมีหน่วยเป็น บิตต่อวินาที (bit per second : bps) หมายความว่า ในหนึ่งวินาที จะมีข้อมูลถูกส่งออกไป หรือรับเข้ามากี่บิต เช่น โมเด็มที่มีความเร็ว 56 Kpbs จะสามารถ รับ-ส่งข้อมูลได้ 56 กิโลบิตในหนึ่งวินาที <br />
โมเด็มสามารถแบ่งได้ 3 ประเภท คือ <br />
1.โมเด็มแบบติดตั้งภายนอก (External modem) <br />
เป็นโมเด็มที่ติดตั้งกับคอมพิวเตอร์ภายนอก สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก เพราะในปัจจุบันการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์จะผ่าน USB พอร์ต (Universal Serial Bus) ซึ่งเป็นพอร์ตที่นิยมใช้กันมาก ราคาของโมเด็มภายนอกไม่สูงมากนัก แต่จะยังมีราคาสูงกว่าโมเด็มแบบติดตั้งภายใน รูปที่ 6.3 แสดงโมเด็มภายนอก <br />
<center><a class="image" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:C6_3.jpg" title="ภาพ:c6_3.jpg"><img alt="ภาพ:c6_3.jpg" height="109" longdesc="/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:C6_3.jpg" src="http://www.panyathai.or.th/wiki/images/C6_3.jpg" width="132" /></a></center><br /> 2.โมเด็มแบบติดตั้งภายใน (Internal modem) <br />
เป็นโมเด็มที่เป็นการ์ดคอมพิวเตอร์ที่ต้องติดตั้งเข้าไปกับแผงวงจรหลักหรือเมนบอร์ด (main board) ของเครื่องคอมพิวเตอร์ โมเด็มประเภทนี้จะมีราคาถูกว่าโมเด็มแบบติดตั้งภายนอก เวลาติดตั้งต้องอาศัยความชำนาญในการเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ และติดตั้งไปกับแผงวงจรหลัก <br />
<br />
<center><a class="image" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:C6_4.jpg" title="ภาพ:c6_4.jpg"><img alt="ภาพ:c6_4.jpg" height="109" longdesc="/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:C6_4.jpg" src="http://www.panyathai.or.th/wiki/images/C6_4.jpg" width="182" /></a></center> 3.โมเด็มสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก (Note Book Computer) อาจเรียกสั้นๆว่า PCMCIA modem <br />
<br />
<center><a class="image" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:C6_5.jpg" title="ภาพ:c6_5.jpg"><img alt="ภาพ:c6_5.jpg" height="111" longdesc="/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:C6_5.jpg" src="http://www.panyathai.or.th/wiki/images/C6_5.jpg" width="111" /></a></center> 2.การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบองค์กร (Corporate Connection) <br />
การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบองค์กรนี้จะพบได้ทั่วไปตามหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน หน่วยงานต่างๆ เหล่านี้จะมีเครือข่ายท้องถิ่น (Local Area Network : LAN) เป็นของตัวเอง ซึ่งเครือข่าย LAN นี้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ผ่านสายเช่า (Leased line) ดังนั้น บุคลากรในหน่วยงานจึงสามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้ตลอดเวลา การใช้อินเทอร์เน็ตผ่านระบบ LAN ไม่มีการสร้างการเชื่อมต่อ (Connection) เหมือนผู้ใช้รายบุคคลที่ยังต้องอาศัยคู่สายโทรศัพท์ในการเข้าสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ต <br />
<center><a class="image" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:C6_6.jpg" title="ภาพ:c6_6.jpg"><img alt="ภาพ:c6_6.jpg" height="325" longdesc="/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:C6_6.jpg" src="http://www.panyathai.or.th/wiki/images/C6_6.jpg" width="477" /></a></center><a href="" name=".E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B9.80.E0.B8.8A.E0.B8.B7.E0.B9.88.E0.B8.AD.E0.B8.A1.E0.B8.95.E0.B9.88.E0.B8.AD.E0.B8.AD.E0.B8.B4.E0.B8.99.E0.B9.80.E0.B8.97.E0.B8.AD.E0.B8.A3.E0.B9.8C.E0.B9.80.E0.B8.99.E0.B9.87.E0.B8.95.E0.B9.81.E0.B8.9A.E0.B8.9A.E0.B9.84.E0.B8.A3.E0.B9.89.E0.B8.AA.E0.B8.B2.E0.B8.A2_.28Wireless_Internet.29"></a><h3>
<span class="editsection">[<a href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B9%87%E0%B8%95&action=edit&section=7" title="Edit section: การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย (Wireless Internet)">แก้ไข</a>]</span> <span class="mw-headline">การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย (Wireless Internet) </span></h3>
1.การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบไร้สายผ่านเครื่องโทรศัพท์บ้านเคลื่อนที่ PCT <br />
เป็นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก (Note book) และคอมพิวเตอร์แบบพกพา (Pocket PC) ผู้ใช้จะต้องมี โมเด็ม ชนิด PCMCIA ของ PCT ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถใช้อินเทอร์เน็ตไร้ได้ ในเขตกรุงเทพ และปริมณฑลได้ <br />
2.การใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือโดยตรง (Mobile Internet) <br />
1.WAP (Wireless Application Protocol) เป็นโปรโตคอลมาตรฐานของอุปกรณ์ไร้สายที่ใช้งานบนอินเทอร์เน็ต ใช้ภาษา WML (Wireless Markup Language) ในการพัฒนาขึ้นมา แทนการใช้ภาษา HTML (Hypertext markup Language) ที่พบใน www โทรศัพท์มือถือปัจจุบัน หลายๆยี่ห้อ จะสนับสนุนการใช้ WAP เพื่อท่องอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีความเร็วในการรับส่งข้อมูลที่ 9.6 kbps และการใช้ WAP ท่องอินเทอร์เน็ตนั้น จะมีการคิดอัตราค่าบริการเป็นนาทีซึ่งยังมีราคาแพง <br />
2.GPRS (General Packet Radio Service) เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้โทรศัพท์มือถือสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตด้วยความเร็วสูง และสามารถส่งข้อมูลได้ในรูปแบบของมัลติมีเดีย ซึ่งประกอบด้วย ข้อความ ภาพกราฟิก เสียง และวีดิโอ ความเร็วในการรับส่งข้อมูลด้วยโทรศัพท์ที่สนับสนุน GPRS อยู่ที่ 40 kbps ซึ่งใกล้เคียงกับโมเด็มมาตรฐานซึ่งมีความเร็ว 56 kbps อัตราค่าใช้บริการคิดตามปริมาณข้อมูลที่รับ-ส่ง ตามจริง ดังนั้นจึงทำให้ประหยัดกว่าการใช้ WAP และยังสื่อสารได้รวดเร็วขึ้นด้วย <br />
3.โทรศัพท์ระบบ CDMA (Code Division Multiple Access) ระบบ CDMA นั้น สามารถรองรับการสื่อสารไร้สายความเร็วสูงได้เป็นอย่างดี โดยสามารถทำการรับส่งข้อมูลได้สูงสุด 153 Kbps ซึ่งมากกว่าโมเด็มที่ใช้กับโทรศัพท์ตามบ้านที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้เพียง 56 kbps นอกจากนี้ ระบบ CDMA ยังสนับสนุนการส่งข้อมูลระบบมัลติมีเดียได้ด้วย <br />
4.เทคโนโลยี บลูทูธ (Bluetooth Technology) เทคโนโลยีบลูทูธ ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้กับการสื่อสารแบบไร้สาย โดยใช้หลักการการส่งคลื่นวิทยุ ที่อยู่ในย่านความถี่ระหว่าง 2.4 - 2.4 GHz ในปัจจุบันนี้ได้มีการผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ใช้เทคโนโลยีไร้สายบลูธูทเพื่อใช้ใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายๆชนิด เช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค คอมพิวเตอร์พ็อคเก็ตพีซี <br />
3.การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตด้วยโน้ตบุ๊ก(Note book) และ เครื่องปาล์ม (Palm) ผ่าน โทรศัพท์มือถือที่สนับสนุนระบบ GPRS <br />
โทรศัพท์มือถือที่สนับสนุน GPRS จะทำหน้าที่เสมือนเป็นโมเด็มให้กับอุปกรณ์ที่นำมาพ่วงต่อ ไม่ว่าจะเป็น Note Book หรือ Palm และในปัจจุบันบริษัทที่ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้มีการผลิต SIM card ที่เป็น Internet SIM สำหรับโทรศัพท์มือถือเพื่อให้สามารถติดต่อกับอินเทอร์เน็ตได้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น <br />
<a href="" name=".E0.B8.AD.E0.B8.B4.E0.B8.99.E0.B9.80.E0.B8.97.E0.B8.AD.E0.B8.A3.E0.B9.8C.E0.B9.80.E0.B8.99.E0.B9.87.E0.B8.95.E0.B8.84.E0.B8.A7.E0.B8.B2.E0.B8.A1.E0.B9.80.E0.B8.A3.E0.B9.87.E0.B8.A7.E0.B8.AA.E0.B8.B9.E0.B8.87"></a><h3>
<span class="editsection">[<a href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B9%87%E0%B8%95&action=edit&section=8" title="Edit section: อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง">แก้ไข</a>]</span> <span class="mw-headline">อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง</span></h3>
1.บริการอินเทอร์เน็ตผ่าน ISDN (Integrated Service Digital Network) <br />
เป็นการเชื่อมต่อสายโทรศัพท์ระบบใหม่ที่รับส่งสัญญาณเป็นดิจิทัลทั้งหมด อุปกรณ์และชุมสายโทรศัพท์จะเป็นอุปกรณ์ที่สนับสนุนระบบของ ISDN โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องโทรศัพท์ และโมเด็มสำหรับ ISDN <br />
องค์ประกอบของการต่ออินเทอร์เน็ตด้วยระบบโทรศัพท์ ISDN <br />
1.Network Terminal (NT) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ต่อจากชุมสาย ISDN เข้ากับอุปกรณ์ดิจิทัลของ ISDN โดยเฉพาะ เช่น เครื่องโทรศัพท์ดิจิทัล เครื่องแฟกซ์ดิจิทัล <br />
2.Terminal adapter (TA) เป็นอุปกรณ์แปลงสัญญาณเพื่อใช้ต่อ NT เข้ากับอุปกรณ์ที่ใช้กับโทรศัพท์บ้านระบบเดิม และทำหน้าที่เป็น ISDN modem ที่ความเร็ว 64-128 Kbps <br />
3.ISDN card เป็นการ์ดที่ต้องเสียบในแผงวงจรหลักในคอมพิวเตอร์เพื่อต่อกับ NTโดยตรง ในกรณีที่ไม่ใช้ Terminal adapter <br />
4. ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านคู่สาย ISDN (ISDN ISP) เช่น KSC, Internet Thailand, Lox Info, JI-Net ฯลฯ ซึ่งผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเหล่านี้จะทำการเช่าคู่สาย ISDN กับองค์การโทรศัพท์ (บริษัท ทศท. คอร์ปอเรชั่น จำกัด มหาชน ) <br />
2. บริการอินเทอร์เน็ตผ่านเคเบิลโมเด็ม (Cable Modem) <br />
เป็นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตด้วยความเร็วสูงโดยไม่ใช้สายโทรศัพท์ แต่อาศัยเครือข่ายของผู้ให้บริการเคเบิลทีวี ความเร็วของการใช้เคเบิลโมเด็มในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจะทำให้ความเร็วสูงถึง 2/10 Mbps นั้น คือ ความเร็วในการอัพโหลด ที่ 2 Mbps และความเร็วในการ ดาวน์โหลด ที่ 10 Mbps แต่ปัจจุบันยังเปิดให้บริการอยู่ที่ 64/256 Kbps <br />
องค์ประกอบของการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตด้วยเคเบิลโมเด็ม <br />
1. ต้องมีการเดินสายเคเบิลจากผู้ให้บริการเคเบิล มาถึงบ้าน ซึ่งเป็นสายโคแอกเชียล (Coaxial ) <br />
2. ตัวแยกสัญญาณ (Splitter) ทำหน้าที่แยกสัญญาณคอมพิวเตอร์ผ่านเคเบิลโมเด็ม <br />
3. Cable modem ทำหน้าที่แปลงสัญญาณ <br />
4. ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านเคเบิลโมเด็ม ในปัจจุบัน มีเพียงบริษัทเดียว คือ บริษัทเอเชียมัลติมีเดีย ในเครือเดียวกับบริษัทเทเลคอมเอเชีย ผู้ให้บริการ Asia Net <br />
<br /> 3. บริการอินเทอร์เน็ตผ่านระบบโทรศัพท์ ADSL (Asymmetric Digital Subscriber Loop) <br />
ADSL เป็นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านสายโทรศัพท์แบบเดิม แต่ใช้การส่งด้วยความถี่สูงกว่าระบบโทรศัพท์แบบเดิม ชุมสายโทรศัพท์ที่ให้บริการหมายเลข ADSL จะมีการติดตั้งอุปกรณ์ คือ DSL Access Module เพื่อทำการแยกสัญญาณความถี่สูงนี้ออกจากระบบโทรศัพท์เดิม และลัดเข้าเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตโดยตรง ส่วนผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตจะต้องมี ADSL Modem ที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ความเร็วในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน ADSL จะมีความเร็วที่ 64/128 Kbps (อัพโหลด ที่ 64 Kbps และ ดาวน์โหลด ที่ 128 Kbps) และที่ 128/256 Kbps (อัพโหลด ที่ 128 Kbps และ ดาวน์โหลด ที่ 256 Kbps) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้บริการ <br />
องค์ประกอบของการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตด้วย ADSL <br />
1. ADSL modem ทำหน้าที่ในการแปลงสัญญาณ <br />
2. Splitter ทำหน้าที่แยกสัญญาณความถี่สูงของ ADSL จากสัญญาณโทรศัพท์แบบธรรมดา <br />
3. ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่าน ADSL ประกอบด้วย Asia Net, Loxinfo, KSC, CS Internet, Anet, Samart, JI-Net <br />
4. บริการอินเตอร์เนตผ่านดาวเทียม (Satellite Internet) <br />
เป็นบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันใช้การส่งผ่านดาวเทียมแบบทางเดียว (One way) คือ จะมีการส่งสัญญาณมายังผู้ใช้ (download) ด้วยความเร็วสูงในระดับเมกะบิตต่อวินาที แต่การส่งสัญญาณกลับไปหรือการอัพโหลด จะทำได้โดยผ่านโทรศัพท์แบบธรรมดา ซึ่งจะได้ความเร็วที่ 56 Kbps การใช้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมอาจได้รับการรบกวนจากสภาพอากาศได้ง่าย <br />
องค์ประกอบของการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตด้วยดาวเทียม <br />
1. จานดาวเทียมขนาดเล็ก <br />
2. อุปกรณ์รับสัญญาณจากดาวเทียมเพื่อแปลงเข้าสู่คอมพิวเตอร์ <br />
3. โมเด็มธรรมดา พร้อมสายโทรศัพท์ 1 คู่สาย เพื่อส่งสัญญาณกลับ (Upload) <br />
4. ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม ในปัจจุบันมีเพียงรายเดียว คือ CS Internet ในเครื่อชินคอร์ปอเรชั่น <br />
<a href="" name=".E0.B8.9A.E0.B8.A3.E0.B8.B4.E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B8.95.E0.B9.88.E0.B8.B2.E0.B8.87.E0.B9.86_.E0.B8.9A.E0.B8.99.E0.B8.AD.E0.B8.B4.E0.B8.99.E0.B9.80.E0.B8.97.E0.B8.AD.E0.B8.A3.E0.B9.8C.E0.B9.80.E0.B8.99.E0.B9.87.E0.B8.95"></a><h3>
<span class="editsection">[<a href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B9%87%E0%B8%95&action=edit&section=9" title="Edit section: บริการต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต">แก้ไข</a>]</span> <span class="mw-headline">บริการต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต</span></h3>
1. เวิลด์ไวด์เว็บ (WWW) เวิลด์ไวด์เว็บ หรือเครือข่ายใยแมงมุม เหตุที่เรียกชื่อนี้เพราะว่าเป็นลักษณะของการเชื่อมโยงข้อมูล จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเรื่อยๆ เวิลด์ไวด์เว็บ เป็นบริการที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ในการเรียกดูเว็บไซต์ต้องอาศัยโปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์ (web browser) ในการดูข้อมูล เว็บเบราว์เซอร์ที่ได้รับความนิยมใช้ในปัจจุบัน เช่น โปรแกรม Internet Explorer (IE) , Netscape Navigator <br />
2. จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail) การติดต่อสื่อสารโดยใช้อีเมลสามารถทำได้โดยสะดวก และประหยัดเวลา หลักการทำงานของอีเมลก็คล้ายกับการส่งจดหมายธรรมดา นั้นคือ จะต้องมีที่อยู่ที่ระบุชัดเจน ก็คือ อีเมลแอดเดรส (E-mail address) <br />
องค์ประกอบของ e-mail address ประกอบด้วย <br />
1. ชื่อผู้ใช้ (User name) <br />
2. ชื่อโดเมน Username@domain_name <br />
การใช้งานอีเมล สามารถแบ่งได้ดังนี้ คือ <br />
1. Corporate e-mail คือ อีเมล ที่หน่วยงานต่างๆสร้างขึ้นให้กับพนักงานหรือบุคลากรในองค์กรนั้น เช่น u47202000@dusit.ac.th คือ e-mail ของนักศึกษาของสถาบันราชภัฏสวนดุสิต เป็นต้น <br />
2. Free e-mail คือ อีเมล ที่สามารถสมัครได้ฟรีตาม web mail ต่างๆ เช่น Hotmail, Yahoo Mail, Thai Mail และ Chaiyo Mail <br />
3. บริการโอนย้ายไฟล์ (File Transfer Protocol) เป็นบริการที่เกี่ยวข้องกับการโอนย้ายไฟล์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต การโอนย้ายไฟล์สามารถแบ่งได้ดังนี้ คือ <br />
1. การดาวน์โหลดไฟล์ (Download File ) การดาวน์โหลดไฟล์ คือ การรับข้อมูลเข้ามายังเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ ในปัจจุบันมีหลายเว็บไซต์ที่จัดให้มีการดาวน์โหลดโปรแกรมได้ฟรีเช่น www.download.com <br />
2. การอัพโหลดไฟล์ (Upload File) การอัพโหลดไฟล์คือการนำไฟล์ข้อมูลจากเครื่องของผู้ใช้ไปเก็บไว้ในเครื่องที่ให้บริการ (Server) ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต เช่น กรณีที่ทำการสร้างเว็บไซต์ จะมีการอัพโหลดไฟล์ไปเก็บไว้ในเครื่องบริการเว็บไซต์ (Web server ) ที่เราขอใช้บริการพื้นที่ (web server) โปรแกรมที่ช่วยในการอัพโหลดไฟล์เช่น FTP Commander <br />
4 บริการสนทนาบนอินเทอร์เน็ต (Instant Message) <br />
การสนทนาบนอินเทอร์เน็ตคือ การส่งข้อความถึงกันโดยทันทีทันใด นอกจากนี้ยังสามารถส่งสัญลักษณ์ต่างๆ อาทิ รูปภาพ ไฟล์ข้อมูลได้ด้วย การสนทนาบนอินเทอร์เน็ตเป็นโปรแกรมที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน โปรแกรมประเภทนี้ เช่น โปรแกรม ICQ (I seek you) MSN Messenger, Yahoo Messenger เป็นต้น <br />
5 บริการค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต <br />
1. Web directory คือ การค้นหาโดยการเลือก Directory ที่จัดเตรียมและแยกหมวดหมู่ไว้ให้เรียบร้อยแล้ว website ที่ให้บริการ web directory เช่น www.yahoo.com <br />
2. Search Engine คือ การค้นหาข้อมูลโดยใช้โปรแกรม Search โดยการเอาคำที่เราต้องการค้นหาไปเทียบกับเว็บไซต์ต่างๆ ว่ามีเว็บไซต์ใดบ้างที่มีคำที่เราต้องการค้นหา website ที่ให้บริการ search engine เช่น www.yahoo.com, www.google.co.th, www.sansarn.com <br />
3. Metasearch คือ การค้นหาข้อมูลแบบ Search engine แต่จะทำการส่งคำที่ต้องการไปค้นหาในเว็บไซต์ที่ให้บริการสืบค้นข้อมูลอื่นๆ อีก ถ้าข้อมูลที่ได้มีซ้ำกัน ก็จะแสดงเพียงรายการเดียว เว็บไซต์ที่ให้บริการ Metasearch เช่น www.search.com, www.thaifind.com <br />
6 บริการกระดานข่าวหรือ เวบบอร์ด (Web board)เว็บบอร์ด เป็นศูนย์กลางในการแสดงความคิดเห็น มีการตั้งกระทู้ ถาม-ตอบ ในหัวข้อที่สนใจ เว็บบอร์ดของไทยที่เป็นที่นิยมและมีคนเข้าไปแสดงความคิดเห็นมากมาย คือ เว็บบอร์ดของพันธ์ทิพย์ (www.pantip.com),www.kapook.com <br />
7. ห้องสนทนา (Chat Room)ห้องสนทนา คือ การสนทนาออนไลน์อีกประเภทหนึ่ง ที่มีการส่งข้อความสั้นๆ ถึงกัน การเข้าไปสนทนาจำเป็นต้องเข้าไปในเว็บไซต์ที่ให้บริการห้องสนทนาเช่น www.pantip.com <br />
<hr />
ขอขอบคุณข้อมูลจาก <br />
<ul>
<li><a class="external text" href="http://www.thaiinternetwork.com/" rel="nofollow" title="http://www.thaiinternetwork.com">ไทอินเทอร์เน็ตเวิร์ค</a> </li>
<li><a class="external text" href="http://www.smiletips.com/" rel="nofollow" title="http://www.smiletips.com">สไมล์ทิป</a> </li>
<li><a class="external text" href="http://dusithost.dusit.ac.th/" rel="nofollow" title="http://dusithost.dusit.ac.th">มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต</a> </li>
</ul>
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต <br />
<!-- Saved in parser cache with key panyathai_wiki:pcache:idhash:6758-0!1!0!!th!2 and timestamp 20050806202242 --><div class="printfooter">
Retrieved from "<a href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B9%87%E0%B8%95">http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B9%87%E0%B8%95</a>"</div>
<div id="catlinks">
<div class="catlinks">
<a href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9:Categories" title="พิเศษ:Categories">ประเภทของหน้า</a>: <span dir="ltr"><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B9%88:%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C_%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%95%E0%B9%90&action=edit" title="หมวดหมู่:พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐">พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐</a></span></div>
</div>
<!-- end content --><div class="visualClear">
</div>
<!-- end --><!-- end maincontent --></h3>kamin JThttp://www.blogger.com/profile/04554982606832858660noreply@blogger.com0